Nothing’s special, nothing’s normal,
that is life.
ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรธรรมดา นั่นแหล่ะที่เรียกว่าชีวิต
that is life.
ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรธรรมดา นั่นแหล่ะที่เรียกว่าชีวิต
หนึ่งเดือนในนิวซีแลนด์ของฉันอยู่ที่เมือง
Auckland
ซึ่งเป็นเมืองทางเหนือของนิวซีแลนด์
อากาศช่วงกลางเมษาเย็นสบายค่อนไปทางหนาว
หมู่บ้านที่ฉันอยู่อยู่ห่างจากตัวเมืองอยู่ระดับหนึ่ง แต่ห่างไม่มาก
ซึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะไม่วุ่นวายและการเดินทางไม่ลำบาก
ฉันพักอยู่กับครอบครัว Hemingway
ซึ่งมีสมาชิกสองคนคือ Linda (ลินดา) แม่ และ Grace
(เกรซ) ลูกสาว ครอบครัวโฮมสเตย์ของฉันเป็นครอบครัวเลี้ยงเดียว
เพราะลินดาแยกทางกับพ่อของเกรซตั้งแต่เกรซยังเด็กมาก ๆ
เกรซเรียนอยู่ชั้นประถมและลินดากำลังเรียนปริญญาโทด้านสิ่งแวดล้อม
ห้องนอนของฉันเป็นห้องนอนที่สร้างไว้สำหรับรับโฮสต์นักเรียนแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะ
เจ้าของห้องคนก่อนเป็นชาวญี่ปุ่นที่เพิ่งกลับไปเมื่อเดือนก่อน
บ้านของลินดารับโฮสต์อยู่ตลอดจึงไม่มีปัญหาในการดูแล
แต่ฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวไทยคนแรกที่ได้มานอนบ้านหลังนี้
ลินดาเคยไปประเทศไทยมาและสนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศไทยมาก เราจึงเริ่มคุยกันได้ง่าย
ชีวิตของฉันในนิวซีแลนด์เริ่มต้นที่หกโมงเช้า
(หรือเจ็ดโมงถ้าขี้เกียจ)
โชคดีที่บ้านของลินดาอยู่ห่างจากโรงเรียนของฉันไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร
ฉันจึงไม่ต้องเสียค่ารถในการเดินทางและสามารถตื่นสายได้นิดหน่อย
ฉันตื่นมาอาบน้ำตอนเช้าทุกวันทั้งที่ปกติแล้วชาวนิวซีแลนด์มักไม่อาบน้ำตอนเช้าเพราะอากาศเริ่มหนาวและค่าน้ำประปาค่อนข้างสูง
แต่ด้วยความเคยชินฉันจึงขอลินดาอาบน้ำตอนเช้าด้วย
ทุกคนในบ้านทำกิจกรรมตอนเช้าแบบตัวใครตัวมัน คือ
ใครตื่นก่อนก็อาบน้ำก่อน กินมื้อเช้าก่อน มื้อเช้าของฉันมักเป็นอาหารง่าย ๆ
เช่นขนมปังปิ้ง ซีเรียล หรือ Weet-bix หลังจากนั้นฉันจะรับหน้าที่เป็นลูกมือเกรซในการให้อาหารกระต่าย
โดยมักจะเป็นเศษผักที่เหลือจากการทำอาหารเย็นเมื่อวาน
เสร็จแล้วเกรซต้องรอดูการ์ตูนจนถึงเรื่อง Ben 10 จบ แล้วจึงเดินไปโรงเรียนพร้อมกันสามคน
คือ ฉัน เกรซ ซึ่งเรียนโรงเรียนประถมข้าง ๆ โรงเรียนของฉัน และใบตอง
เพื่อนร่วมโครงการที่พักอยู่บ้านตรงกันข้ามกับฉัน เรามักจะเดินไปโรงเรียนพร้อมกัน
หรือบางวันที่เกรซไม่ไปโรงเรียน หรือเดินไปก่อน ก็จะเหลือเพียงฉันกับใบตอง
เวลาเลิกเรียนคือสามโมงถึงสี่โมง ในวันแรก ๆ
ฉันก็สวมบทเด็กดีรีบกลับบ้านมาช่วยงานลินดา
ซึ่งแน่นอนว่าในบ้านที่อยู่กันสองคนแม่ลูกก็ย่อมจะไม่มีอะไรให้ฉันช่วยทำนอกจากดูโทรทัศน์อยู่เฉย
ๆ หรือออกไปกระโดดแทรมโพลีนเล่นให้เด็กข้างบ้านนินทาเอาก็เท่านั้น
ช่วงหลังฉันจึงเลือกออกไปเดินโต๋เต๋กับเพื่อนก่อนจนเกือบค่ำแล้วค่อยเข้าบ้าน
ก็จะเป็นเวลาเตรียมอาหารเย็นพอดี และทีนี้ฉันก็พอจะมีอะไรให้ทำบ้างแล้ว
ฉันเป็นลูกมือในการเตรียมอาหารที่ดี
แต่ทำอาหารไม่ได้ คือ ช่วยหยิบ จับ ล้าง หั่น ซอย ไปจนกระทั่งจัดโต๊ะกินข้าว ได้หมดตามแต่จะบอก
แต่ฉันไม่มีสูตรการทำอาหารใด ๆ อยู่ในหัวเลยนอกจากไข่ดาว ไข่ต้ม และไข่เจียว
อย่างที่บอกไว้ว่าลินดาเคยมาประเทศไทยและสนใจวัฒนธรรมของไทยอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ครั้งหนึ่งลินดาเคยถามฉันว่า ฉันทำอาหารได้เป็นไหม
ฉันเองก็อยากจะรักษาชื่อเสียงของประเทศไว้ด้วยเสน่ห์ปลายจวักแบบแม่ช้อยต้องชวนกันมาชิม
แต่กลัวจะทำเขาท้องเสียกันยกบ้าน
เลยต้องตอบไปตามความจริงว่าฉันทำอาหารไม่เป็นแม้แต่อย่างเดียว
ที่แรกฉันนึกว่าลินดาจะตกใจหรือผิดหวัง
แต่คำตอบที่ลินดาตอบฉันมาทำให้ฉันตกใจมากกว่า คือ ‘That’s okay. You don’t
cook Thai food but I do !’ (ไม่เป็นไรหรอก เพราะถึงเธอจะทำอาหารไทยไม่เป็น
แต่ฉันทำเป็นนะ) ว่าแล้วลินดาก็หยิบหนังสือตำราอาหารไทยมาโชว์ให้ฉันดูด้วย
จึงเป็นบุญปากของฉันที่ได้กินพะแนงหมู แกงเขียวหวานไก่ ลาบอิสาน
หรือแม้กระทั่งของทานเล่นอย่างเปาะเปี๊ยะทอด อาหารพื้นบ้านไทย ๆ
ที่ทำโดยชาวนิวซีแลนด์ อาหารไทยของลินดานั้นอยู่ในขั้นมืออาชีพเลยก็ว่าได้
เพราะลาบอิสานของเธอนั้นใส่พริกแห้งและข้าวคั่วตามแบบฉบับอิสานบ้านเฮาแท้ ๆ !
ฝีมือการทำอาหารของลินดาเด็ดดวงจริง ๆ
รับประกันได้จากน้ำหนักของฉันที่ขึ้นมา 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน
หลังจากมื้อเย็นเสร็จแล้ว ฉันก็พยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์โดยการเหมาหน้าที่ล้างจานเพราะเป็นงานที่ฉันถนัดที่สุดแล้ว
ฉันจัดการกับจานตามแบบไทย ๆ โดยการเขี่ยเศษอาหารทิ้ง
ล้างด้วยน้ำเปล่าและกำลังมองหาน้ำยาล้างจาน และก็ต้องสะดุดกับ Culture
shock เมื่อลินดาสาธิตวิธีการจัดการกับจานชามให้ดูตามแบบฉบับกีวี่
(กีวี่ – คำที่ใช้เรียกชาวนิวซีแลนด์) คือกวาด ๆ
เศษอาหารทิ้งแล้วยัดลงไปในเครื่องล้างจานเลย
ฉันพยายามอธิบายถึงพลังของการล้างจานให้สะอาดด้วยสองมือในระหว่างที่เครื่องล้างจานกำลังทำงานดังกึก
ๆ กัก ๆ และลินดาก็กำลังอธิบายถึงข้อดีของการใช้เครื่องล้างจาน (ซึ่งเหตุผลหลักก็คือค่าน้ำประปาค่อนข้างสูงอีกนั่นแหล่ะ)
สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้เพราะการล้างจานทีละใบ ๆ
ในสภาพอากาศที่เกือบจะหนาวนั้นมันไม่ดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตจริง ๆ
เช้าวันหนึ่งฉันเปิดเครื่องล้างจานมาเพื่อจะเอาถ้วยสำหรับใส่ซีเรียล
และพบว่ามีใบหนึ่งที่ยังมีคราบเหลืออยู่ จึงชี้ให้ลินดาดู
“Look, as I said, the machine will never be as good as my
hands”
(เห็นมั้ย ดูสิ
ฉันบอกแล้วไงคะว่าเครื่องน่ะมันล้างได้ไม่เท่ามือล้างหรอก)
ลินดายิ้มและพยักหน้าให้แล้วตอบกลับมาว่า
“Honey, if there’s not a big mistake, let’s just close an eye
for it. Life will be much easier.”
เธอหยิบจานที่สะอาดแล้วออก
เหลือไว้แต่จานใบที่มีคราบแล้วปิดฝาเครื่อง กดปุ่มให้เครื่องทำงานอีกครั้ง
ที่รัก
ถ้ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรก็หลับหูหลับตาบ้างเถอะ ชีวิตจะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย
(ที่จริงฉันแอบค้านในใจอยู่เล็ก
ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก และวงคำศัพท์ภาษาอังกฤษในหัวก็เริ่มจะตันแล้ว เพราะฉะนั้น
ช่างมันเถอะ.)
หลังจากเวลาอาหารเย็นแล้ว
ก็เป็นเวลาอาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอน
ระหว่างนี้ฉันก็จะทำการบ้านหรือออกไปดูโทรทัศน์บ้าง คุยเรื่องเรื่อยเปื่อยกับลินดา
เล่นเกมส์กับเกรซ หรือวาดรูปด้วยกัน ทุกคืนก่อนนอนลินดาจะอ่านหนังสือให้เกรซฟังก่อนจะกลับไปนอนที่ห้อง
เกรซนอนแยกห้องกับลินดาตั้งแต่เด็ก
เช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ ในห้องของเกรซจะมีของเล่น หนังสือและตุ๊กตาจำนวนมาก
แม้ในช่วงวันของในห้องนั้นจะรกรุงรังขนาดไหนแต่สุดท้ายก่อนนอนของในห้องจะต้องเป็นระเบียบ
เพราะเป็นกฎข้อหนึ่งของบ้าน และไม่น่าเชื่อว่าเธอเก็บของในห้องเรียบร้อยทุกคืน
ฉันย้อนกลับไปถึงตอนตัวเองอยู่ชั้นประถมต้นเหมือนเกรซ อย่าว่าแต่ของในห้องเลย
ของในกระเป๋านักเรียนของฉันยังไม่เคยเป็นระเบียบ (และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เป็น)

นอกจากกฎในการอยู่ร่วมกันแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ สำหรับเกรซคือตารางเวลา
แม้ว่าตารางเวลาของเกรซจะไม่มีกำหนดเป็นชั่วโมงและนาทีที่แน่นอนแต่กิจกรรมของเกรซจะต้องเรียงตามลำดับในแต่ละวัน
และเกรซไม่เคยไปโรงเรียนสาย วันไหนจะมีกิจกรรมพิเศษ เช่น มีกิจกรรมเพิ่มที่โรงเรียนตอนเย็น
หรืออยากไปนอนค้างบ้านเพื่อน เกรซจะต้องขออนุญาตลินดาก่อนเสมอ
การได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
Hemingway แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ
แต่เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายกับฉันมาก ขอขอบคุณการดูแล ขอบคุณทุกคำทักทาย
ขอบคุณทุกคำถามไถ่และมิตรภาพดี ๆ ที่มีให้กับฉัน
ครอบครัว Hemingway เป็นครอบครัวธรรมดา
ๆ ที่น่ารักและอบอุ่น และมีความสัมพันธ์ที่พิเศษอย่างที่ครอบครัวธรรมดา ๆ พึงมี
สิ่งที่ฉันทำและเจอร่วมกับครอบครัว Hemingway ยังมีอีกมาก
ชนิดที่เขียนเล่าอีกสิบเล่มก็ยังไม่จบ
เพราะแต่ละเรื่องก็มีความทรงจำพิเศษยิบย่อยลงไป ในเรื่องราวธรรมดา ๆ
ของครอบครัวหนึ่ง
สิ่งธรรมดาที่แสนพิเศษ นี่แหล่ะชีวิต.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น