วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Episode 2 : Nothing’s special, nothing’s normal, that is life.

Nothing’s special, nothing’s normal,
that is life.
ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรธรรมดา นั่นแหล่ะที่เรียกว่าชีวิต


         หนึ่งเดือนในนิวซีแลนด์ของฉันอยู่ที่เมือง Auckland ซึ่งเป็นเมืองทางเหนือของนิวซีแลนด์ อากาศช่วงกลางเมษาเย็นสบายค่อนไปทางหนาว หมู่บ้านที่ฉันอยู่อยู่ห่างจากตัวเมืองอยู่ระดับหนึ่ง แต่ห่างไม่มาก ซึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะไม่วุ่นวายและการเดินทางไม่ลำบาก

ฉันพักอยู่กับครอบครัว Hemingway ซึ่งมีสมาชิกสองคนคือ Linda (ลินดา) แม่ และ Grace (เกรซ) ลูกสาว ครอบครัวโฮมสเตย์ของฉันเป็นครอบครัวเลี้ยงเดียว เพราะลินดาแยกทางกับพ่อของเกรซตั้งแต่เกรซยังเด็กมาก ๆ เกรซเรียนอยู่ชั้นประถมและลินดากำลังเรียนปริญญาโทด้านสิ่งแวดล้อม ห้องนอนของฉันเป็นห้องนอนที่สร้างไว้สำหรับรับโฮสต์นักเรียนแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะ เจ้าของห้องคนก่อนเป็นชาวญี่ปุ่นที่เพิ่งกลับไปเมื่อเดือนก่อน บ้านของลินดารับโฮสต์อยู่ตลอดจึงไม่มีปัญหาในการดูแล แต่ฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวไทยคนแรกที่ได้มานอนบ้านหลังนี้ ลินดาเคยไปประเทศไทยมาและสนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศไทยมาก เราจึงเริ่มคุยกันได้ง่าย

ชีวิตของฉันในนิวซีแลนด์เริ่มต้นที่หกโมงเช้า (หรือเจ็ดโมงถ้าขี้เกียจ) โชคดีที่บ้านของลินดาอยู่ห่างจากโรงเรียนของฉันไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ฉันจึงไม่ต้องเสียค่ารถในการเดินทางและสามารถตื่นสายได้นิดหน่อย ฉันตื่นมาอาบน้ำตอนเช้าทุกวันทั้งที่ปกติแล้วชาวนิวซีแลนด์มักไม่อาบน้ำตอนเช้าเพราะอากาศเริ่มหนาวและค่าน้ำประปาค่อนข้างสูง แต่ด้วยความเคยชินฉันจึงขอลินดาอาบน้ำตอนเช้าด้วย

ทุกคนในบ้านทำกิจกรรมตอนเช้าแบบตัวใครตัวมัน คือ ใครตื่นก่อนก็อาบน้ำก่อน กินมื้อเช้าก่อน มื้อเช้าของฉันมักเป็นอาหารง่าย ๆ เช่นขนมปังปิ้ง ซีเรียล หรือ Weet-bix หลังจากนั้นฉันจะรับหน้าที่เป็นลูกมือเกรซในการให้อาหารกระต่าย โดยมักจะเป็นเศษผักที่เหลือจากการทำอาหารเย็นเมื่อวาน เสร็จแล้วเกรซต้องรอดูการ์ตูนจนถึงเรื่อง Ben 10 จบ แล้วจึงเดินไปโรงเรียนพร้อมกันสามคน คือ ฉัน เกรซ ซึ่งเรียนโรงเรียนประถมข้าง ๆ โรงเรียนของฉัน และใบตอง เพื่อนร่วมโครงการที่พักอยู่บ้านตรงกันข้ามกับฉัน เรามักจะเดินไปโรงเรียนพร้อมกัน หรือบางวันที่เกรซไม่ไปโรงเรียน หรือเดินไปก่อน ก็จะเหลือเพียงฉันกับใบตอง

เวลาเลิกเรียนคือสามโมงถึงสี่โมง ในวันแรก ๆ ฉันก็สวมบทเด็กดีรีบกลับบ้านมาช่วยงานลินดา ซึ่งแน่นอนว่าในบ้านที่อยู่กันสองคนแม่ลูกก็ย่อมจะไม่มีอะไรให้ฉันช่วยทำนอกจากดูโทรทัศน์อยู่เฉย ๆ หรือออกไปกระโดดแทรมโพลีนเล่นให้เด็กข้างบ้านนินทาเอาก็เท่านั้น ช่วงหลังฉันจึงเลือกออกไปเดินโต๋เต๋กับเพื่อนก่อนจนเกือบค่ำแล้วค่อยเข้าบ้าน ก็จะเป็นเวลาเตรียมอาหารเย็นพอดี และทีนี้ฉันก็พอจะมีอะไรให้ทำบ้างแล้ว

ฉันเป็นลูกมือในการเตรียมอาหารที่ดี แต่ทำอาหารไม่ได้ คือ ช่วยหยิบ จับ ล้าง หั่น ซอย ไปจนกระทั่งจัดโต๊ะกินข้าว ได้หมดตามแต่จะบอก แต่ฉันไม่มีสูตรการทำอาหารใด ๆ อยู่ในหัวเลยนอกจากไข่ดาว ไข่ต้ม และไข่เจียว

อย่างที่บอกไว้ว่าลินดาเคยมาประเทศไทยและสนใจวัฒนธรรมของไทยอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ครั้งหนึ่งลินดาเคยถามฉันว่า ฉันทำอาหารได้เป็นไหม ฉันเองก็อยากจะรักษาชื่อเสียงของประเทศไว้ด้วยเสน่ห์ปลายจวักแบบแม่ช้อยต้องชวนกันมาชิม แต่กลัวจะทำเขาท้องเสียกันยกบ้าน เลยต้องตอบไปตามความจริงว่าฉันทำอาหารไม่เป็นแม้แต่อย่างเดียว ที่แรกฉันนึกว่าลินดาจะตกใจหรือผิดหวัง แต่คำตอบที่ลินดาตอบฉันมาทำให้ฉันตกใจมากกว่า คือ ‘That’s okay. You don’t cook Thai food but I do !’ (ไม่เป็นไรหรอก เพราะถึงเธอจะทำอาหารไทยไม่เป็น แต่ฉันทำเป็นนะ) ว่าแล้วลินดาก็หยิบหนังสือตำราอาหารไทยมาโชว์ให้ฉันดูด้วย จึงเป็นบุญปากของฉันที่ได้กินพะแนงหมู แกงเขียวหวานไก่ ลาบอิสาน หรือแม้กระทั่งของทานเล่นอย่างเปาะเปี๊ยะทอด อาหารพื้นบ้านไทย ๆ ที่ทำโดยชาวนิวซีแลนด์ อาหารไทยของลินดานั้นอยู่ในขั้นมืออาชีพเลยก็ว่าได้ เพราะลาบอิสานของเธอนั้นใส่พริกแห้งและข้าวคั่วตามแบบฉบับอิสานบ้านเฮาแท้ ๆ ! ฝีมือการทำอาหารของลินดาเด็ดดวงจริง ๆ รับประกันได้จากน้ำหนักของฉันที่ขึ้นมา 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน

หลังจากมื้อเย็นเสร็จแล้ว ฉันก็พยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์โดยการเหมาหน้าที่ล้างจานเพราะเป็นงานที่ฉันถนัดที่สุดแล้ว ฉันจัดการกับจานตามแบบไทย ๆ โดยการเขี่ยเศษอาหารทิ้ง ล้างด้วยน้ำเปล่าและกำลังมองหาน้ำยาล้างจาน และก็ต้องสะดุดกับ Culture shock เมื่อลินดาสาธิตวิธีการจัดการกับจานชามให้ดูตามแบบฉบับกีวี่ (กีวี่ คำที่ใช้เรียกชาวนิวซีแลนด์) คือกวาด ๆ เศษอาหารทิ้งแล้วยัดลงไปในเครื่องล้างจานเลย ฉันพยายามอธิบายถึงพลังของการล้างจานให้สะอาดด้วยสองมือในระหว่างที่เครื่องล้างจานกำลังทำงานดังกึก ๆ กัก ๆ และลินดาก็กำลังอธิบายถึงข้อดีของการใช้เครื่องล้างจาน (ซึ่งเหตุผลหลักก็คือค่าน้ำประปาค่อนข้างสูงอีกนั่นแหล่ะ) สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้เพราะการล้างจานทีละใบ ๆ ในสภาพอากาศที่เกือบจะหนาวนั้นมันไม่ดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตจริง ๆ

เช้าวันหนึ่งฉันเปิดเครื่องล้างจานมาเพื่อจะเอาถ้วยสำหรับใส่ซีเรียล และพบว่ามีใบหนึ่งที่ยังมีคราบเหลืออยู่ จึงชี้ให้ลินดาดู

“Look, as I said, the machine will never be as good as my hands”
(เห็นมั้ย ดูสิ ฉันบอกแล้วไงคะว่าเครื่องน่ะมันล้างได้ไม่เท่ามือล้างหรอก)

ลินดายิ้มและพยักหน้าให้แล้วตอบกลับมาว่า
“Honey, if there’s not a big mistake, let’s just close an eye for it. Life will be much easier.”
เธอหยิบจานที่สะอาดแล้วออก เหลือไว้แต่จานใบที่มีคราบแล้วปิดฝาเครื่อง กดปุ่มให้เครื่องทำงานอีกครั้ง
ที่รัก ถ้ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรก็หลับหูหลับตาบ้างเถอะ ชีวิตจะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย
(ที่จริงฉันแอบค้านในใจอยู่เล็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก และวงคำศัพท์ภาษาอังกฤษในหัวก็เริ่มจะตันแล้ว เพราะฉะนั้น ช่างมันเถอะ.)

          หลังจากเวลาอาหารเย็นแล้ว ก็เป็นเวลาอาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอน ระหว่างนี้ฉันก็จะทำการบ้านหรือออกไปดูโทรทัศน์บ้าง คุยเรื่องเรื่อยเปื่อยกับลินดา เล่นเกมส์กับเกรซ หรือวาดรูปด้วยกัน ทุกคืนก่อนนอนลินดาจะอ่านหนังสือให้เกรซฟังก่อนจะกลับไปนอนที่ห้อง

          เกรซนอนแยกห้องกับลินดาตั้งแต่เด็ก เช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ ในห้องของเกรซจะมีของเล่น หนังสือและตุ๊กตาจำนวนมาก แม้ในช่วงวันของในห้องนั้นจะรกรุงรังขนาดไหนแต่สุดท้ายก่อนนอนของในห้องจะต้องเป็นระเบียบ เพราะเป็นกฎข้อหนึ่งของบ้าน และไม่น่าเชื่อว่าเธอเก็บของในห้องเรียบร้อยทุกคืน ฉันย้อนกลับไปถึงตอนตัวเองอยู่ชั้นประถมต้นเหมือนเกรซ อย่าว่าแต่ของในห้องเลย ของในกระเป๋านักเรียนของฉันยังไม่เคยเป็นระเบียบ (และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เป็น)
          กฎในการอยู่ร่วมกันในบ้านมีเพียงไม่กี่ข้อ และแต่ละข้อก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ เช่น ไม่ลุกจากโต๊ะก่อนในเวลามื้อเย็น เมื่อโกรธ ให้ไปสงบสติอารมณ์ในห้องเป็นเวลาห้านาที กินไอศกรีมในตู้เย็นได้ทุกวันพุธหลังมื้อเย็น ไม่มีกฎหรือข้อตกลงที่เข้าใจยาก ๆ เช่น ตรงต่อเวลา ซื่อสัตย์ ประหยัด อดออม รู้รักสามัคคี ฯลฯ และกฎนี้ก็ศักดิ์สิทธิ์กับเกรซทุกข้อ ครั้งหนึ่งเธอเคยโมโหเกี่ยวกับมื้อเย็นที่ไม่ถูกปากแต่โดนบังคับให้กิน สุดท้ายเมื่อลินดาบอกให้เกรซเข้าห้อง ห้านาทีผ่านไปเธอก็กลับมาคุยกับลินดาด้วยเหตุผลว่า เธอไม่ชอบอาหารเย็นมื้อนี้เพราะมันเผ็ดพริกไทย ขอโทษด้วยที่ไม่กินทั้ง ๆ ที่แม่เสียเวลาทำ และขอให้ลินดาทำออมเล็ทให้เธอกิน ฉันเองแม้จะไม่เคยโมโหหรือขึ้นเสียงในตอนเด็ก ๆ แต่การควบคุมอารมณ์ตนเองเมื่อโตขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน แต่เด็กเล็ก ๆ กลับพิสูจน์ให้ฉันดูแล้วว่ามันไม่ยากเลย

          นอกจากกฎในการอยู่ร่วมกันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ สำหรับเกรซคือตารางเวลา แม้ว่าตารางเวลาของเกรซจะไม่มีกำหนดเป็นชั่วโมงและนาทีที่แน่นอนแต่กิจกรรมของเกรซจะต้องเรียงตามลำดับในแต่ละวัน และเกรซไม่เคยไปโรงเรียนสาย วันไหนจะมีกิจกรรมพิเศษ เช่น มีกิจกรรมเพิ่มที่โรงเรียนตอนเย็น หรืออยากไปนอนค้างบ้านเพื่อน เกรซจะต้องขออนุญาตลินดาก่อนเสมอ

          การได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Hemingway แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายกับฉันมาก ขอขอบคุณการดูแล ขอบคุณทุกคำทักทาย ขอบคุณทุกคำถามไถ่และมิตรภาพดี ๆ ที่มีให้กับฉัน

ครอบครัว Hemingway เป็นครอบครัวธรรมดา ๆ ที่น่ารักและอบอุ่น และมีความสัมพันธ์ที่พิเศษอย่างที่ครอบครัวธรรมดา ๆ พึงมี สิ่งที่ฉันทำและเจอร่วมกับครอบครัว Hemingway ยังมีอีกมาก ชนิดที่เขียนเล่าอีกสิบเล่มก็ยังไม่จบ เพราะแต่ละเรื่องก็มีความทรงจำพิเศษยิบย่อยลงไป ในเรื่องราวธรรมดา ๆ ของครอบครัวหนึ่ง


          สิ่งธรรมดาที่แสนพิเศษ นี่แหล่ะชีวิต.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น