วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Episode 1 : Kia Ora แปลว่า สวัสดี

Kia Ora.
แปลว่า สวัสดี

          “พ่อ... ที่โรงเรียนเขาแนะนำให้ไปสอบชิงทุนไปแลกเปลี่ยน หนูไปสอบนะ”
          “แลกเปลี่ยนไปไหน? ไปสิ...”
          “หนูลงไปสอบกรุงเทพอ่ะ ขอตังค์ค่ารถด้วยดิ...
          แล้ว.. ถ้าหนูสอบผ่าน มันต้องออกค่าตั๋วเครื่องบินเองนะพ่อ”
          “ถ้าผ่านก็ ค่อยว่ากันอีกที”

          เอาไงเอากันวะ เสียตังค์ลงมาสอบถึงนี่แล้ว ถ้าจะไม่ได้อะไรเลยอย่างน้อยก็ขอมาลองข้อสอบมันซักที... ฉันบอกกับตัวเองเมื่อเริ่มฝนข้อสอบข้อแรก เด็กแว่นหัวยุ่งคนหนึ่งกำลังจะต่อกรกับข้อสอบที่แสนร้ายกาจ พร้อมเพื่อนร่วมสนามรบหลายร้อยคน เราทุกคนต่างหวังจะมีชื่อติดอยู่ในรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ทั้งนั้น โดยเฉพาะฉันที่เสียเงินเดินทางลงมาจากเชียงใหม่คนเดียว ขาไปหกร้อยเก้าสิบบาท ขากลับอีกหกร้อยเก้าสิบบาท ค่าโรงแรมหนึ่งคืนห้าร้อยห้าสิบบาท ลงทุนไปตั้งขนาดนี้แล้ว ขอเถอะค่ะพระเจ้า ขอให้หนูผ่านเถอะค่ะ

          โครงการที่ฉันเดินทางมาสอบนี้ชื่อว่าโครงการพัฒนานักเรียนที่มีผลงานดีเด่นด้านภาษาอังกฤษในต่างประเทศ เป็นโครงการที่อยู่ภายใต้นโยบายการพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของนักเรียนไทย โดยมีกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งหมดนี้ฉันลอกมาจากเนื้อหาโครงการในเว็บไซต์ทั้งนั้น ที่จริงแล้วฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโครงการนี้เลยนอกจาก

          หนึ่ง ฉันมีคุณสมบัติที่สามารถสมัครได้
          สอง ถ้าสอบผ่าน จะได้ไปนิวซีแลนด์ตอนปิดเทอม

วินาทีนั้นฉันมองไปรอบห้องสอบแล้วถอนหายใจ นักเรียนหลายร้อยคนที่นั่งทำข้อสอบอยู่ในห้องเดียวกับฉัน ดูอักษรย่อบนอกเสื้อแล้วก็มีแต่โรงเรียนชื่อดังที่อยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งนั้น ฉันนอกจากจะมาจากเชียงใหม่แดนไกลแล้ว ก็ยังมาจากโรงเรียนประจำอำเภอที่ชื่อไม่ดังด้วย

          เมื่อหมดเวลาทำข้อสอบ นักเรียนที่ยังเหลืออยู่ในห้องสอบก็ถูกทยอยเก็บข้อสอบไปที่ละคน ๆ รวมถึงตัวฉันด้วย ฉันตอบตัวเองไม่ได้ว่าข้อสอบนั้นง่ายหรือยาก เพราะที่ทำไปนั้นฝนไปตามสัญชาติญาณ เอาละ ข้อนี่มันต้องถูกแน่ ๆ ต้องใช่แน่ ๆ ฝนเลยแล้วกัน (ฮา...) เมื่อเดินออกมานอกห้องสอบแล้วฉันก็ทิ้งเรื่องสอบไว้ตรงหน้าประตูนั้นด้วย
          คนเป็นร้อยเป็นพัน ไม่ติดก็ไม่แปลกละวะ..

          เมื่อถึงวันประกาศผลสอบข้อเขียน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พระเจ้าคงสงสารฉันที่ฉันลงทุนไปแล้วตั้งพันกว่าบาท (หรืออยากจะแกล้งฉันให้ฉันเสียเงินอีกพันกว่าบาทอีกครั้งก็ไม่แน่ใจ) สุดท้ายก็มีชื่อเสาวลักษณ์ เชื้อคำ อยู่ในรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์จริง ๆ
          “แม่ หนูติดสอบสัมภาษณ์แล้วแหล่ะ”
          “อ้าวเหรอ เห็นมั้ยแม่บอกแล้วว่ามีลุ้น โทรบอกพ่อสิ”

...

          “พ่ออออ สอบผ่านอ่ะ ขอตังค์ไปสอบสัมภาษณ์หน่อย”

          สุดท้ายฉันก็แบกกระเป๋าเป้ เดินทางลงกรุงเทพอีกครั้ง สอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ในสมองยังไม่มีข้อมูลเลยว่าการสอบสัมภาษณ์นี่มันจะต้องทำยังไงบ้าง รู้แต่ว่า ถ้าสัมภาษณ์ผ่าน จะได้ไปเที่ยวแล้วนะ แกต้องทำให้ผ่านสิ

          “เธอชื่ออะไรอ่ะ...”
          “มาจากเชียงใหม่เหรอ...”
          “มาคนเดียวเลยเหรอ เก่งอ่ะ”
          “ทำไมไม่นั่งเครื่องมา จะได้ไม่ต้องค้างคืน”

ทุกคนดูจะตื่นเต้นกับการเดินทางของฉันมาก เพราะฉันเป็นนักเรียนคนเดียวที่มาจากเชียงใหม่ นั่งรถทัวร์มาจากบ้าน และนั่งรถเมล์ต่อมานอนห้องพักที่ครุสภา และเดินข้ามถนนมาสอบสัมภาษณ์ ฉันเองก็ตอบคำถามไม่ถูกเลยแก้เก้อด้วยการเดี่ยวไมโครโฟนโชว์มันซะเลย การเดี่ยวไมโครโฟนเป็นไม้ตายของฉันเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรจะพูด หรือไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้ผล ทีนี้เพื่อน ๆ ไม่ถามเรื่องการเดินทางฉันแล้ว แต่มาฟังฉันเดี่ยวไมโครโฟนแทน และวันนั้นฉันก็ได้แจ้งเกิดในวงสนทนาเล็ก ๆ โดยได้ฉายาใหม่ว่า “หลิว อุดม” ที่มาจาก โน้ต อุดม นักพูดจมูกโต แต่หลิว อุดม จมูกไม่โตเพราะ หลิว อุดม ดั้งแหมบ

          การสอบสัมภาษณ์เป็นไปอย่างง่าย ๆ เพียงแค่เข้าไปนั่งคุยกับอาจารย์สามสี่ท่าน กรรมการสัมภาษณ์เป็นคนไทยแต่เราคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ ทักษะการจ้อภาษาอังกฤษของฉันอยู่ในระดับไม่แย่นัก และทักษะการเอาตัวรอดของฉันก็ค่อนข้างสูง คำถามที่ถูกถามก็อย่างเช่น มาจากไหน ใครมาส่ง (และกรรมการสัมภาษณ์ก็ตกใจเช่นกันเมื่อฉันบอกว่า I came here alone by bus) ถ้าได้ไปจริงจะสะดวกใช่ไหม ทำอาหารไทยเป็นไหม มีความสามารถพิเศษอะไร ซึ่งดู ๆ ไปแล้วโปรไฟล์ของฉันก็ไม่น่าดึงดูดใจเท่าใดนัก และฉันก็ไม่ได้เดี่ยวไมโครโฟนให้กรรมการสัมภาษณ์ฟังเพราะฉันเดี่ยวไมโครโฟนเป็นภาษาอังกฤษไม่เป็น เพราะฉะนั้นฉันจึงเชื่อว่า งานนี้หลิวอุดมไม่เกิดแหง ๆ

          รอบก่อนเสียงตังค์มาลองข้อสอบ รอบนี้เสียตังค์มาเดี่ยวไมโครโฟน มันคุ้มมั้ยเนี่ย

          หลายอาทิตย์ผ่านไป พระเจ้าคงเห็นแก่บทเดี่ยวไมโครโฟนของฉันแน่ ๆ เพราะชื่อเสาวลักษณ์ เชื้อคำดันไปปรากฏบนรายชื่อผู้ผ่านการสอบสัมภาษณ์ด้วย
          ผ่านแล้ว..
          ผ่านสัมภาษณ์แล้ว...
          หลิว อุดม แจ้งเกิดแล้ว !

ต้องขอบพระคุณอาจารย์กรรณิการ์ ปัญญา อาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษที่เอาใบสมัครมายื่นให้ฉันวันนั้น และขอบคุณที่บ้านที่อนุญาตให้ฉันไปสอบ เพิ่งมารู้ความจริงจากพ่อฉันหลังจากนั้นว่า ตอนที่อนุญาตให้ไปสอบน่ะ ไม่คิดว่าฉันจะสอบติดหรอก และสุดท้ายหนึ่งอาทิตย์ก่อนจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบิน พ่อก็ยังไม่รู้จะไปหาเงินที่ไหนมาให้ สุดท้ายพ่อก็ต้องถอดผานรถแทรกเตอร์ไปขาย (ผานคืออุปกรณ์เสริมอย่างหนึ่งของรถแทรกเตอร์) เงินพ่อและแม่รวมกันมาเกือบสี่หมื่น เพื่อเป็นค่าตั๋วเครื่องบินและเงินติดกระเป๋าให้ฉันไปแลกเปลี่ยน จากทุนเพียงไม่กี่พันบาท ตอนนี้ค่าใช้จ่ายรวมตั้งแต่วันแรกที่ฉันไปสอบ เฉียดสี่หมื่นเข้าไปแล้ว...

เงินสี่หมื่นนี่เอาไปทำอะไรได้มั่ง(วะ)?

ฉันพยายามจะตีค่าของเงินจำนวนห้าหมื่นบาทนี้ให้ออกมาเป็นรูปธรรม เพราะลำพังเลขห้าหนึ่งตัวตามด้วยเลขศูนย์อีกสี่ตัวมันดูแบนเกินไป แต่สุดท้ายแล้วฉันก็คิดไม่ออกว่าเงินห้าหมื่นนั้นหน้าตามันเป็นยังไง เป็นหนังสือได้กี่เล่ม เป็นเสื้อได้กี่ตัว เป็นข้าวได้กี่จาน คำนวนดูแล้วถ้าเป็นแบงค์พันก็จะมีจำนวน 40 ใบ ถ้าเป็นแบงค์ร้อยก็จะมีจำนวน 400 ใบ

          เดี๋ยวนะ.. แบงค์ร้อย 400 ใบ
          นี่เราจะใช้เงินเยอะขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ ?
          หรือจะไม่ไปดี (วะ)

          ฉันเริ่มเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาแม่ ก่อนที่จะเซ็นสัญญาและรายงานตัวหนึ่งอาทิตย์ คำพูดของแม่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันนี่มันเด็กน้อยจริง ๆ แม่บอกว่า โอกาสไม่ได้วิ่งมาชนกันง่าย ๆ ครั้งนี้โอกาสวิ่งมาชนฉันแล้ว ไม่ชนธรรมดา ชนไปตั้งสี่หมื่นด้วย เพราะฉะนั้น ไปเถอะ ไปแล้วเก็บเกี่ยวกลับมาให้มาก เอากลับมาให้คุ้มเงินสี่หมื่นบาท

          โอกาสมาแล้ว ต้องใช้ให้คุ้ม

          ฉันนั่งรถลงกรุงเทพเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้ไปพร้อมกับความตั้งใจล้วน ๆ ไม่มีการลองเหมือนครั้งก่อน ๆ  เอกสารปึกหนาที่หอบมาเพื่อยืนยันความตั้งใจในการไปแลกเปลี่ยนถูกส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่ เมื่อหมดกิจกรรมด้านธุรการแล้ว ก็เป็นกิจกรรมด้านธุระ(ที่ต้อง)จัดการต่อ คือการเตรียมตัววางแผนการเดินทางของนักเรียนที่สอบผ่านทั้ง 16 คน ว่าจะต้องนัดเจอกันที่ไหนวันไหนตอนไหน ของที่ระลึกที่จะต้องมอบให้กับทางโรงเรียน ครอบครัวโฮมสเตย์ สภาพอากาศเป็นอย่างไร และหาประธานกลุ่มที่จะรับผิดชอบในการติดต่อกับสมาชิกที่จะเดินทางไปพร้อมกันทั้งหมด

          “หลิวอุดมเป็นประธานไหม”

“โอ้ย ไม่ดีมั่งแก เค้าอยู่ตั้งเชียงใหม่โน่น คงจะเป็นธุระจัดการอะไรให้ยากอ่ะ (เหนื่อยแล้วด้วย อยู่โรงเรียนก็เป็นประธาน งานที่โรงเรียนยังจัดการไม่เสร็จเลยเนี่ย)” ประโยคในวงเล็บฉันพูดกับตัวเองล้วน ๆ แต่ดันมีคนได้ยินเสียอีก
          “หลิวอุดมเป็นประธานนักเรียนเหรอ เท่จังเลยอ่ะ”
          “เป็นประธานนักเรียนจริงป้ะเนี่ย ผู้หญิงด้วยนะ เจ๋ง”

สุดท้ายเราก็ได้ประธาน(จริงๆ) ในบ่ายวันนั้น ส่วนฉันเมื่อเปิดเผยตัวตนและตำแหน่งมากขึ้น เลยได้รับการเลื่อนอันดับจาก หลิวอุดม กลายเป็น ประธานหลิว เคียงบ่าเคียงไหล่ประธาน(จริงๆ) ไปเสียนี่

แหม เป็นประธานหลิวนี่เท่กว่าหลิวอุดมเยอะเลยนะ (ถึงดั้งจะแหมบอยู่เหมือนเดิมก็เถอะ)

ฉันตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องเก็บประสบการณ์มาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินและเวลาที่เสียไป นิวซีแลนด์ อีกไม่นานเราจะได้เจอกันแล้วนะ

ว่าแต่ นิวซีแลนด์นี่ มันเป็นยังไง (วะ)

ฉันเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับนิวซีแลนด์ และพบว่าเป็นเมืองที่มีชนเผ่าดั้งเดิมเป็นชนเผ่าเมารี (Maori) ข้อมูลทั่วไปไม่เข้าหัวฉันเท่าใดนัก เพราะฉันเองก็ไม่ได้สนใจสภาพอากาศหรือเศรษฐกิจหรือนกกีวีมากนัก ฉันถือคติในการเรียนภาษาใหม่ว่า คำทักทายคือท่าไม้ตาย หากจะพูดอะไรไม่ได้เลยก็ขอให้พูดคำทักทายได้ กำแพงทางภาษาก็จะน้อยลง Kia ora (คีอา โอรา) เป็นภาษาเมารี แปลว่า สวัสดี ฉันพยายามท่องไม้ตายใหม่ให้ขึ้นใจ

ช่วงเตรียมตัวฉันยุ่งจนไม่มีเวลาตื่นเต้น ไหนจะเสื้อผ้าข้าวของ ถึงจะเลื่อนขั้นเป็นประธานหลิวแล้ว ฉันก็ยังเป็นประธานหลิวที่ไม่เคยออกนอกประเทศไปไกลกว่าชายแดนพม่าและลาว การเดินทางครั้งนี้จึงยิ่งใหญ่เหมือนกับที่โคลัมบัสออกสำรวจโลกเลยทีเดียว

ฉันเดินทางจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพคนเดียว (อีกเช่นเดิม) ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ นอกจากเป้สะพายหลังแล้ว ฉันมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตติดมาด้วย กระเป๋าที่ใส่ของไม่พอเมื่อสองวันก่อนกลับกลายเป็นกระเป๋าที่แสนจะเทอะทะและน่ารำคาญบนรถทัวร์และรถเมล์ เวลา 9 ชั่วโมงจากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพครั้งนี้ดูสั้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา สุดท้ายฉันก็พาตัวเองไปถึงสุวรรณภูมิตามเวลาที่นัดหมายกันไว้

กระเป๋าเสื้อผ้าใบโตของฉันกลายเป็นกระเป๋าใบเล็กเมื่อเทียบกับของเพื่อน ๆ คนอื่น และฉันคนเดียวก็กลายเป็นของแปลกเมื่ออยู่ท่ามกลางครอบครัวของเพื่อนคนอื่นด้วยเช่นกัน ฉันพูดคุยหยอกคนนั้นคนนี้ไปตามประสา แต่ว่าไม่โชว์เดียวไมโครโฟนแล้ว เพราะวิญญาณหลิวอุดมหดเล็กลงไปเพราะตกใจสนามบิน เหลือแต่ประธานหลิวที่คอยออกมาพยุงร่างไว้ก่อน สนามบินนั้นใหญ่กว่าและพลุกพล่านกว่าหมอชิต ฉันเริ่มมึนและไม่รู้จะทำอะไรต่อไปท่ามกลางคนมากมายที่คุยกันเป็นกลุ่ม ๆ นอกจากตั้งใจยืนเฝ้ากระเป๋าเดินทางเหมือนมันอาจจะวิ่งหนีหายไป ฉันเดินทางคนเดียวมาหลายครั้งแต่ไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกถึงความ “คนเดียว” ได้เท่าครั้งนี้ ฉันยกนาฬิกามาดูเป็นครั้งที่แปดร้อยเก้าสิบสอง และ บิงโก ได้เวลาเช็คอินแล้ว

ฉันกระชับสายกระเป๋าเป้ ผูกสายรองเท้าให้แน่น จัดแว่นให้เข้าที่เป็นครั้งสุดท้าย และวินาทีนี้จะยิ่งใหญ่เท่ากับวินาทีที่สัญญาณบนเรือของโคลัมบัสดังขึ้น เอาล่ะ ทุกคนพร้อมหรือยัง...

ฉันหันไปหาทุกคน แต่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในโรงละคร ในฉากที่ทหารใหม่กำลังล่ำลาครอบครัวเพื่อไปออกรบ แต่เปลี่ยนตัวละครจากทหารใหม่มาเป็นนักเรียนมัธยมห้าแทน ทุกครอบครัวกอดกันเหมือนเรากำลังจะเดินทางไปดาวอังคาร บางครอบครัวลูก ๆ ร้องไห้ บางครอบครัวพ่อแม่ร้องไห้ ฉันเองก็รู้สึกอยากจะร้องไห้เหมือนกันแต่ไม่รู้จะหันไปร้องไห้กับใคร ความอึดอัดเริ่มที่ก่อตัวมาตั้งแต่ก้าวแรกในสนามบินเริ่มออกฤทธิ์ทำลายร้าง วิญญาณประธานหลิวที่พยุงร่างกายอยู่เริ่มหดลงไปเล็กเท่า ๆ กับวิญญาณหลิวอุดม ฉันกำลังมองหาทางออกที่จะทำให้รู้สึกดีขึ้น

“ฮาโหล แม่... เราจะเช็คอินแล้วนะ”

เสียงแม่ที่ผ่านลำโพงโทรศัพท์มือถือออกมาทำให้ชื้นใจขึ้น และทำให้น้ำตาไหลได้ด้วย ทั้งที่แม่ก็พูดแบบเดิม ๆ คือ ตั้งใจเรียนนะ อย่าไปรังแกใครนะ ใส่เสื้อแขนยาวนะ ดื่มน้ำเยอะ ๆ นะ ... สุดท้ายเมื่อขบวนสมาชิกเริ่มเคลื่อนที่ ฉันจึงวางสายจากแม่แล้วเดินตามไป

          ฉันได้ที่นั่งข้างหน้าต่าง เราคุยกับซุบซิบเล็กน้อยตามประสาเด็ก สุดท้ายเสียงเริ่มเงียบลงเมื่อเครื่องบินเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้า นกยักษ์ตัวนี้พาเราลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนมองเห็นตึกข้างล่างเล็กลง ๆ และบินทะลุขึ้นมาอยู่เหนือเมฆในที่สุด ฉันชะเง้อมองเมฆขาวโพลนข้างล่างและมันทำให้รู้สึกว่า นี่แหละ การเดินทางเริ่มต้นขึ้นแล้ว

          Taking off!


          เราหยุดเปลี่ยนเที่ยวบินที่สิงค์โปรและด้วยความประหยัดเราจึงต้องเลือกเที่ยวบินที่เสียเงินน้อยที่สุด และนั้นทำให้เราต้องติดแหง็กอยู่ในสนามบินชางงีเป็นเวลา 5 ชั่วโมง ความตื่นเต้นทั้งหมดถูกทำหล่นหายที่นี่ เราใช้เวลา 5 ชั่วโมงไปกับการถ่ายรูปหมู่จนเบื่อ เดินเล่นในสนามบินจนเบื่อ หาของกินจนเบื่อ เล่นเก้าอี้นวดฟรีจนเบื่อ และหลับจนเบื่อ

          เวลาออกเดินทางมาถึงอีกครั้ง ครั้งนี้เราบินยาวจากสิงค์โปร์ถึงนิวซีแลนด์ด้วยเวลาเกือบสิบชั่วโมง จอภาพฉายให้เห็นกำหนดเวลาที่เราจะถึงที่หมายคือเวลา 12.30 น. แต่ฉันเพิ่งตื่นนอนและกำลังจัดการกับมื้อเช้า นั่นหมายถึงเราทำเวลาหายไปเกือบ 5 ชั่วโมงระหว่างการเดินทาง

          สัญญาณเตือนให้รัดเข็มขัดนิรภัย เครื่องบินบินต่ำลงเรื่อย ๆ และเริ่มมองเห็นพื้นด้านล่างในที่สุด เราสลัดความงัวเงียทิ้งไปทันทีเมื่อออกจากเกท และเมื่อประตูสนามบินเปิดออก นิวซีแลนด์ทักทายพวกเราด้วยลมเย็ดที่ปะทะเข้ากับตัว

          ฉันเปิดโพยกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่แอบจดคำสำคัญมาด้วยลายมือขยุกขยิก และ...



          “Kai ora, New Zealand. It’s a pleasure to meet you.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น