วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Episode 4 : Out of comfort zone

Out of comfort zone
ทริปอวตารร่าง (บทพิเศษ)

“อาจารย์คะ พวกหนูอยากเข้าไปในเมืองอ่ะค่ะ ถ้าจะเข้าไปกันเองนี่ ได้มั้ยคะ”
“พวกคุณจะไปได้ยังไง คุณเพิ่งมาอยู่กันอาทิตย์เดียวเอง ไว้ให้รู้ที่รู้ทางดีกว่านี้ก่อนแล้วคุณค่อยไปกันดีกว่า...”
...
          “เฮ้ยย มันไปได้เว้ย เชื่อเรา ๆ เราถามโฮสท์มาแล้ว”
          “เสียเงินเท่าไหร่อ่ะ มีเงินไม่เยอะนะ”
          “ค่ารถก็ไม่กี่เหรียญหรอก เดี๋ยวพาไปตลาดขายส่ง เพิ่งไปกะโฮสท์มาวันก่อนเนี่ย ของฝากถูก ๆ ทั้งนั้นเลย”
          “เอาจริงกันไปเนี่ย”
          “เราไปดวยดิ”

          สุดท้ายทริปเขย่าโลกก็เกิดขึ้น แม้อาจารย์จะค้านอย่างไร แต่พวกฉันก็หาทางวางแผนแอบเข้าเมืองกันไปจนได้ ในแก๊งค์หนีเที่ยวมีสมาชิกสี่คนถ้วน คือ ฉัน วิว ใบตอง และนัท โดยมีจุดหมายคือตลาด Victoria Park อันเป็นตลาดขายส่งที่มีของฝากให้เลือกมากมาย (หรืออย่างน้อยเราก็เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น)

         แผนการอันแสนจะดูดีของเราคือ เดินไปขึ้นรถบัส สาย Go west เข้าเมือง เดินไป Victoria park ซื้อของราคาถูกคุณภาพดี และเดินกลับ ง่าย ๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก...

          ปอกกล้วยเข้าปากมดน่ะสิ

          ณ ตอนนั้นวิชาเราไม่ได้แก่กล้าอย่างที่อาจารย์พูดไว้นั่นแหล่ะ เพราะกว่าจะเดินไปถึงถนนใหญ่ก็เมื่อยขาแล้ว เรายังใช้เวลาในการอ่านแผนที่กลับหัวกลับหางไปอีกหลายนาที กว่าจะรู้ว่ารถที่ต้องการขึ้นผ่านป้ายนี้ไปแล้ว และต้องรออีกเกือบยี่สิบนาทีกว่ารถคันต่อไปจะมา จนเมื่อขึ้นรถได้แล้ว เราเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะลงที่ป้ายไหน และป้ายนั้นมันอยู่ตรงไหน อีกกี่ป้ายจะถึง

          ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของเรารวมกัน เราจึงอวตารสมองรวมกันเป็นก้อนเดียว แบ่งหน้าที่ย่อยตามความถนัดคือ

          วิว ผู้เคยไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกามาแล้ว สามารถฟังภาษาอังกฤษและจับใจความได้ครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นผู้รับสาร
          ใบตอง ผู้มีสำเนียงอเมริกันชัดแจ๋วทุกคำ มีคำศัพท์ในคลังมาก พูดแล้วเจ้าของภาษาฟังรู้เรื่อง เป็นผู้ส่งสาร
          ประธานหลิว ผู้มีทักษะในการขายผ้าเอาหน้ารอดสูง และมีประสบการณ์ในการเดินทางคนเดียวมามากกว่าคนอื่น ๆ เป็นคนวางแผน
          นัด ผู้มาเฉย ๆ และอยู่เฉย ๆ เป็นคนนั่งเฉย ๆ (???)

เราใช้วิธีให้ใบตองถาม วิวฟังและแปลให้ฉันฟังอีกที เมื่อฉันต้องการถามอะไรต่อฉันก็จะบอกใบตอง ใบตองก็จะถามเป็นภาษาอังกฤษ พอเขาตอบมา วิวก็จะเป็นคนฟังและแปลให้เพื่อนเข้าใจ เราถามไปถามมาจนเชื่อว่าเราถามทุกคนบทรถไปแล้ว และรถเมล์ที่นิวซีแลนด์ไม่มีกระเป๋ารถเมล์เหมือนบ้านเราที่คอยตะโกนบอกว่าที่นี้ป้ายอะไร จนไม่มีใครให้ถามเพิ่ม เราจึงประมวลคำตอบมารวมกันเพื่อจะไปถึง Victoria park ให้จงได้

          ด้วยการวางแผนที่เป็นหนึ่งในตองอู เราทั้งสี่คนจึงสามารถลงที่ป้ายรถเมล์และเดินไปถึง Victoria park ได้โดยไม่ได้บอกครูแต่อย่างใด ของใน Victoria park เหมือนกันทุกร้านและราคาเท่า ๆ กันทุกร้าน ฉันซึ่งไม่ได้มีวิญญาณนักช็อปจึงเดินดูของเล่นไปเรื่อย ๆ สุดท้ายเมื่อเราได้ของฝากกันแล้ว เราจึงมองหาวิธีกลับเข้าไปที่หมูบ้านเราอีกครั้ง และพบว่ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือกว่าจะถึงรถเมล์เที่ยวสุดท้าย ไหน ๆ ก็เสียเงินมาแล้ว เราสี่คนมองตากันอย่างรู้ใจ

          “ไปไหนต่อดีวะ..”

          นอกจากแผนที่รถเมล์แล้ว เราก็ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเมือง Auckland ใด ๆ อยู่ในหัวมากนัก ฉันกดดูภาพถ่ายเรื่อย ๆ และสะดุดเข้ากับภาพหนึ่งที่มียอดแหลม ๆ

          “หอสูง ๆ นี่มันชื่ออะไรนะ sky ซักอย่างเนี่ย”
          “อ๋อ Sky tower ไง มองจากตรงนี้ก็เห็นนะ...”
          บีสอง บีสาม บีสี่ นายคิดเหมือนที่ฉันคิดมั้ย ?
          ฉันคิดเหมือนที่นายคิดเลยล่ะบีหนึ่ง!

          จุดหมายต่อไปของเราคือ Sky Tower ที่เรามั่นใจว่าไปถึงได้โดยไม่ต้องใช้แผนที่แน่ ๆ เพราะเรามองเห็นมันอยู่ตลอดเวลา วิธีการของเราก็คือ เห็น Sky tower อยู่ทิศไหนก็เดินไปทิศนั้น เราไปถึงแน่ ๆ เพราะเรามองเห็นว่ามันอยู่ไม่ไกลและยังมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมง

          ยิ่งเดินก็เหมือนยิ่งไกล แม้เราจะมองเห็น Sky tower ใหญ่ขึ้น ๆ เป็นสัญญาณว่าเราใกล้ถึงแล้ว แต่ผังเมืองเหมือนเล่นตลก เพราะเราเดินไปติดรั้ว ติดถนน ติดสะพาน ติดตึก ติดไปหมด เดินอ้อมไปอ้อมมาแล้วก็ยังไม่ถึงซักที

          สมองของเรารวมกันเป็นก้อนเดียวอีกครั้ง ใบตองถามทาง วิวฟังคำตอบ นัทนั่งเฉย ๆ และฉันวางแผนต่อ ด้วยความทุลักทุเล สุดท้าย Sky Tower ก็อยู่เบื้องหน้าเราแล้ว

          Sky tower ไม่ใช่ตึกที่มีไว้สำหรับชมวิวเพียงอย่างเดียว แต่ภายในเป็นตึกสำหรับธุรกิจอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคาสิโน อุปกรณ์สำหรับโดดร่ม ของที่ระลึกต่าง ๆ วิวและนัทขึ้นไปชมวิวจากด้านบนของ Sky tower ส่วนฉันและใบตองเดินดูของรออยู่ด้านล่างเพราะไม่อยากเสียเงินค่าตั๋วราคาหลายสิบเหรียญ แม้จะเสียดายโอกาสแต่คำนวณดูเงินที่เหลือในกระเป๋าแล้วก็ช่างมันเถอะ

          สุดท้ายก่อนเราจะออกจากตัวเมือง ท้องเราก็ประท้วงดังจ๊อก ๆ เพราะนอกจากมื้อเช้าที่บ้านใครบ้านมันมาก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องพวกเราเลย เราเดินไปเรื่อย ๆ แล้วเจอร้านอาหารไทย แน่นอนว่าเราคิดถึงอาหารไทยมาก แต่ราคาอาหารไทยในต่างประเทศนั้นไม่เป็นมิตรอย่างที่รู้ ๆ กัน

          “โอ้ย ผัดไทย คิดถึงผัดไทย!

หนึ่งในกลุ่มพวกเราพูดขึ้นพลางชี้ไปที่ป้ายโฆษณาหน้าร้าน ผัดไทยคืออาหารที่ราคาถูกที่สุดในบรรดาอาหารบนป้ายเหล่านั้น และมันมีราคาถึง 11 เหรียญ (240 บาท)

          อ่านชัด ๆ อีกครั้ง สองร้อยสี่สิบบาทถ้วน
          เรากลืนน้ำลายเดินผ่านหน้าร้านอาหารไทยไปฝากท้องไว้กับ Subway แทน
          “มากิน Subway ที่นิวซีแลนด์ ที่เชียงใหม่ไม่มีให้กินเหรอแก”
          “แล้วแกจะมากินผัดไทยราคาสองร้อยกว่าบาทเนี่ย พิษณุโลกไม่มีผัดไทยขายหรือไง?”
          “เออว่ะ”
...

          เราเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์ ระหว่างทางได้ผ่าน Asian store เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มจึงขอไปเลือกซื้อเครื่องแกงสำเร็จรูปเพื่อจะไปทำอาหารไทยให้โฮมสเตย์ในเย็นนั้น และในที่สุดฉันก็เจอขุมทรัพย์

          “แก มาม่า”

          เราตื่นเต้นกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหน้าตาเหมือนแบบที่ขายในไทยทุกกระเบียดนิ้ว พลิกดูราคาและคำนวณดูแล้วมาม่าหนึ่งซองเราต้องจ่ายเกือบสามสิบบาทสำหรับมาม่าหนึ่งซอง แต่สุดท้ายด้วยความคิดถึงรสอาหารไทย เรายอมควักเงินออกมาเหมามาม่าไปคนละครึ่งโหล กะว่ากินวันเว้นวันให้พอหายคิดถึงก็จะอยู่ได้ตั้งสองอาทิตย์แหนะ

          เด็กไทยสี่คนหอบถุงมาม่าออกมาจาก Asian store เรารวมสมองกันแล้วอวตารเป็นร่างเดียวอีกครั้งเพื่อถามทางกลับ ครั้งนี้เราทำงานเป็นทีมได้ลื่นไหลและใช้เวลาน้อยกว่าครั้งแรก

          สุดท้ายเราแยกย้ายกันตรงป้ายรถเมล์ป้ายแรกที่เราขึ้นมา ฉันและใบตองเดินกลับบ้านทางเดียวกัน

          “อยู่กันหลาย ๆ คนนี่ดีเนอะ”
          “ดียังไงอ่ะ”
          “ก็ เหมือนคนมีหลาย ๆ มือหลาย ๆ หัวไง จะทำอะไรก็ทำได้”
          “คนมีหลายมือหลายหัวทำอะไรก็ทำได้จริงเหรอ?”
          “...” ไม่มีคำตอบจากใบตอง
          “...” ไม่มีคำตอบจากฉันเช่นกัน

เราสองคนเดินกลับบ้านเงียบ ๆ เพราะเหนื่อยจากการตะลอนทัวร์มาทั้งวัน

          “เจอกันพรุ่งนี้เช้านะเดี๋ยวไปหาทีบ้าน”
          “อื้อ”

ฉันบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับทัวร์อวตารรวมร่างของเราในวันนั้น และสุดท้ายก็คิดได้ว่า ถ้าให้เลือกระหว่างเป็นคนที่มีหลายหัวหลายมือ กับคนที่มีหนึ่งหัวสองมือแต่อยู่ด้วยกันหลายคน ฉันเลือกจะอยู่ด้วยกันหลายคนดีกว่า...

          หลายครั้งที่ฉันเบื่อการสมาคมกับคนอื่น เพราะเบื่อการต้องมาออกแบบกิจกรรม คำพูด ความคิด ให้เข้ากับความชอบความพอในของคนหลาย ๆ คน แต่สุดท้ายเมื่อออกจากสถานการณ์เดิม ๆ ที่เรารู้สึกคุ้นชินไปแล้ว ไปเจอสถานการณ์ใหม่ ๆ อย่างที่ฝรั่งชอบพูดกันเท่ ๆ ว่า Getting oneself out of comfort zone สิ่งที่เราต้องการที่สุดกลับเป็นใครซักคนที่คอยอยู่ข้าง ๆ คอยฟังคำศัพท์ยากและอธิบายให้ฟังอย่างวิว คอยพูดแทนเราเหมือนใบตอง หรือคอยนั่งเฉย ๆ ไปด้วยกันเหมือนนัท เหมือนกับที่ขบวนการเรนเจอร์หลากสีไม่เคยต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเพียงคนเดียว

          เราต้องการใครซักคนมาอวตารรวมร่างกับเรา

          เราต้องการแค่นั้น

(สองสัปดาห์ต่อมาอาจารย์อนุญาตให้พวกฉันเข้าไปในเมืองเองได้และแนะนำแผนการเดินทางให้กับทุกคนในห้อง ร่างอวตารทั้งสี่ได้แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น